สำหรับพนักงานบริษัทที่กำลังสนใจ ลงทุนร้านสะดวกซัก หรือกำลังจะเริ่ม เปิดร้านซักอบแห้ง เป็นของตัวเอง นอกจากเรื่องทำเลและอุปกรณ์แล้ว การทำความเข้าใจเรื่องภาษีก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องวางแผนล่วงหน้า เพื่อให้ ธุรกิจซักอบแห้ง ของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและถูกต้องตามกฎหมาย
ภาษีเงินได้ เมื่อเปิดร้านซักอบแห้ง ต้องเสียภาษีอย่างไร?
ภาษีแรกที่เจ้าของธุรกิจทุกคนต้องเจอคือภาษีเงินได้ ซึ่งวิธีการคำนวณจะแตกต่างกันไปตามรูปแบบการจดทะเบียนธุรกิจของคุณ
บุคคลธรรมดา
หากคุณดำเนินธุรกิจในนามของตัวเอง จะต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยรายได้จากร้านซักอบแห้งจะจัดอยู่ในเงินได้ประเภทที่ 8 ตามมาตรา 40(8) ซึ่งกฎหมายอนุญาตให้เลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธี คือ
1) หักแบบเหมา 60% โดยไม่ต้องมีหลักฐานค่าใช้จ่าย หรือ
2) หักตามจริง โดยต้องรวบรวมเอกสารค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเพื่อนำมาหักลบ
นิติบุคคล
หากคุณจดทะเบียนในรูปแบบบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล โดยคำนวณจาก "กำไรสุทธิ" ของบริษัท (รายได้ หัก ค่าใช้จ่าย) ซึ่งวิธีนี้จะสามารถหักได้เฉพาะค่าใช้จ่ายตามจริงที่มีหลักฐานถูกต้องเท่านั้น
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สิ่งที่เจ้าของร้านซักอบแห้งต้องรู้
ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT เป็นภาษีที่ผู้ประกอบการต้องเรียกเก็บจากลูกค้าในอัตราร้อยละ 7 แล้วนำส่งให้กับกรมสรรพากร แต่ไม่ใช่ทุกร้านที่ต้องจดทะเบียน VAT โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือ หากธุรกิจของคุณมีรายได้จากการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี คุณมีหน้าที่ต้องยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังนั้น เมื่อรายได้ใกล้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด อย่าลืมวางแผนปรับราคาค่าบริการเพื่อรวม VAT 7% เข้าไปด้วย
สรุปประเภทภาษีหลักสำหรับธุรกิจร้านสะดวกซัก
โดยสรุป ภาษีหลักที่ผู้ประกอบการร้านซักอบแห้งต้องเกี่ยวข้องด้วยคือ ภาษีเงินได้ (บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล) และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ การเลือกรูปแบบธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้นจึงส่งผลโดยตรงต่อภาระภาษีของคุณ นอกจากนี้ อาจมีภาษีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาษีป้าย หากร้านของคุณมีการติดตั้งป้ายโฆษณาตามลักษณะที่กฎหมายกำหนด
คำถามที่พบบ่อย
ถ้าเปิดร้านซักอบแห้งแบบบุคคลธรรมดา มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างที่สามารถนำมาหักภาษีได้?
หากเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง สามารถนำค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจมาหักได้ เช่น ค่าเช่าพื้นที่, ค่าน้ำ-ค่าไฟ, ค่าบำรุงรักษาเครื่อง, ค่าอุปกรณ์ทำความสะอาด, และค่าจ้างพนักงาน (ถ้ามี) โดยต้องเก็บใบเสร็จและหลักฐานทั้งหมดไว้เพื่อการตรวจสอบ
จะรู้ได้อย่างไรว่าร้านซักอบแห้งของเราถึงเกณฑ์ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แล้ว?
คุณต้องทำบัญชีรายรับอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามรายได้รวมของทั้งปี เมื่อใดก็ตามที่รายได้รวม (ก่อนหักค่าใช้จ่าย) ของปีภาษีนั้นเกิน 1.8 ล้านบาท คุณจะต้องยื่นจดทะเบียน VAT ภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีรายได้เกิน
ถ้าเพิ่งเริ่มทำธุรกิจร้านซักอบแห้ง ควรเลือกจดทะเบียนเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลดีกว่ากัน?
สำหรับผู้เริ่มต้นและคาดว่ารายได้ในปีแรกๆ ยังไม่สูงมาก การเริ่มต้นในรูปแบบ "บุคคลธรรมดา" มักจะง่ายและสะดวกกว่า เนื่องจากมีขั้นตอนไม่ซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการทำบัญชีต่ำกว่า แต่หากธุรกิจเติบโตและมีกำไรสูง การจดทะเบียนเป็น "นิติบุคคล" อาจช่วยให้ประหยัดภาษีได้มากกว่าในระยะยาว เนื่องจากอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลอาจต่ำกว่าอัตราภาษีสูงสุดของบุคคลธรรมดา
การเริ่มต้นธุรกิจร้านซักอบแห้งไม่ใช่เรื่องยาก แต่การวางแผนเรื่องภาษีอย่างรอบคอบเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรูปแบบธุรกิจ หรือการเตรียมพร้อมเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มหากรายได้ถึงเกณฑ์ การทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้จะช่วยให้คุณบริหารจัดการร้านได้อย่างเป็นระบบและไร้กังวล
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจธุรกิจเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ เราคือ มารุ สะดวกซัก ร้านซักผ้าหยอดเหรียญสไตล์ญี่ปุ่นในรูปแบบใหม่ ซึ่งนำเข้าเครื่อง Tosei จากประเทศญี่ปุ่นดำเนินการภายใต้บริษัท กันยง ลอนดรี้ จำกัด เรามีทีมงานที่มีคุณภาพช่วยวิเคราะห์ให้คำปรึกษาและทีมงานออกแบบ ตกแต่งร้านที่เป็นมืออาชีพ
อีกหนึ่งทางเลือกดีที่สุดในการลงทุนร้านสะดวกซัก พร้อมสร้างรายได้และเติบโตได้อย่างมั่นคง สนใจสมัครแฟรนไชส์เครื่องซักผ้า ติดต่อ 02-118-2959 หรือที่เว็บไซต์ Maru Laundry