นักลงทุนส่วนใหญ่มักจดจ่ออยู่กับคำถามยอดฮิตที่ว่า แฟรนไชส์เครื่องซักผ้า ลงทุนเท่าไหร่ โดยมุ่งเน้นไปที่ "ราคาแพ็กเกจ" เริ่มต้นที่เห็นในโฆษณา ไม่ว่าจะเป็น 1 ล้าน, 2 ล้าน หรือ 3 ล้านบาท พวกเขาเปรียบเทียบจำนวนเครื่องที่จะได้รับเป็นหลัก แต่กลับลืมคำนวณ "ต้นทุนต่อเนื่อง" (Ongoing Costs) ที่ต้องจ่ายทุกเดือน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดกระแสเงินสดและผลกำไรที่แท้จริง หนึ่งในต้นทุนต่อเนื่องที่ถกเถียงกันมากที่สุดคือ "Royalty Fee" หรือค่าสิทธิ์รายเดือน บทความนี้จะเจาะลึกว่า Royalty Fee คืออะไร, ทำไมบางเจ้าถึงเก็บ แต่บางเจ้ากลับชูจุดขายว่า "ไม่เก็บ", และโมเดลไหนที่เหมาะกับสไตล์การลงทุน แฟรนไชส์เครื่องซักผ้า ของคุณอย่างแท้จริง
ทำความรู้จัก "ต้นทุนต่อเนื่อง" 2 ประเภทในระบบแฟรนไชส์
เมื่อคุณตัดสินใจซื้อ แฟรนไชส์เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ (SK) คุณไม่ได้จ่ายเงินก้อนเดียวแล้วจบ แต่คุณกำลังเข้าสู่สัญญาระยะยาวที่มีค่าใช้จ่ายผูกพันรายเดือน ซึ่งโดยทั่วไปมักแบ่งเป็น 2 ก้อนหลักที่นักลงทุนต้องทำความเข้าใจ
ประเภทแรกคือ Royalty Fee (ค่าสิทธิ์ หรือ ส่วนแบ่งยอดขาย) นี่คือค่าธรรมเนียมรายเดือนหรือรายปี ที่แฟรนไชส์ซี (ผู้ซื้อ) ต้องจ่ายให้แฟรนไชส์ซอร์ (เจ้าของแบรนด์) เพื่อ "สิทธิ์" ในการใช้เครื่องหมายการค้าและระบบงานที่พิสูจน์แล้ว โดยทั่วไปมักคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ (%) จากยอดขายรวมของสาขา ข้อดีของการจ่ายค่านี้ คือมันเปรียบเสมือนการ "จ้าง" แบรนด์ให้คอยดูแลเราอย่างต่อเนื่อง ทำให้แบรนด์มีส่วนได้ส่วนเสีย (Vested Interest) ที่จะช่วยให้สาขาของเราขายดี พวกเขาจึงมีแรงจูงใจที่จะพัฒนาระบบ Application ให้ทันสมัย, ช่วยแก้ปัญหาทางเทคนิค, และให้คำปรึกษาทางธุรกิจ แต่ข้อเสียที่หลายคนไม่อยากจ่าย ก็เพราะยิ่งเราขยัน ทำการตลาดเก่ง จนขายดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องแบ่งผลกำไรนั้นให้แบรนด์มากขึ้นเท่านั้น
ประเภทที่สองคือ Marketing Fee (ค่าการตลาดส่วนกลาง) นี่คือค่าธรรมเนียมอีกก้อนที่แบรนด์มักเก็บแยกออกมา (หรือบางครั้งก็รวมอยู่ใน Royalty Fee) เพื่อนำไปทำการตลาดใน "ภาพรวม" ของแบรนด์ ไม่ใช่แค่สาขาใดสาขาหนึ่งโดยเฉพาะ เงินก้อนนี้จะถูกนำไปใช้ยิงโฆษณา Google Ads, Facebook Ads ในนามแบรนด์, การจ้าง Influencer รีวิว, หรือการจัดแคมเปญโปรโมชั่นใหญ่ระดับประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีทางอ้อมกลับมายังทุกสาขา ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและการรับรู้ในวงกว้าง
โมเดล "No Fee" (ไม่เก็บ Royalty Fee): แล้วแบรนด์ได้กำไรจากไหน?
นี่คือโมเดลที่ แฟรนไชส์เครื่องซักผ้า (FK) หลายเจ้าในประเทศไทยนิยมใช้เป็นอย่างมาก เพื่อดึงดูดนักลงทุนที่อ่อนไหวต่อภาระผูกพันรายเดือน หรือผู้ที่ต้องการเก็บกำไรไว้กับตัว 100% คำว่า "ไม่เก็บ Fee" นั้นฟังดูหอมหวาน แต่สิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องตระหนักคือ "ไม่เก็บ Fee ไม่ได้แปลว่า ฟรี" แบรนด์ยังคงต้องทำกำไรเพื่อหล่อเลี้ยงองค์กร และพวกเขามักจะทำกำไรจากนักลงทุนผ่านช่องทางอื่นแทน
ช่องทางแรกและเป็นแหล่งรายได้หลักคือ กำไรจากการขายเครื่องจักร (Machine Sales) แบรนด์อาจบวกกำไรส่วนต่างเข้าไปในราคาเครื่องซัก-อบ ตั้งแต่ในแพ็กเกจลงทุนเริ่มต้น ทำให้ราคาแพ็กเกจโดยรวมอาจสูงกว่าการที่นักลงทุนไปติดต่อซื้อเครื่องเองโดยตรง นี่คือการที่แบรนด์เลือกรวบกำไรก้อนใหญ่ไว้ตั้งแต่ "วันแรก" ที่ขายแฟรนไชส์
ช่องทางต่อมาที่พบบ่อยคือ การบังคับซื้อวัสดุสิ้นเปลือง (Exclusive Consumables) หลายแบรนด์ที่ใช้โมเดล No Fee อาจมีเงื่อนไขในสัญญาที่บังคับให้สาขาต้องสั่งซื้อ "น้ำยาซักผ้า-ปรับผ้านุ่ม" หรือผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากแบรนด์แม่หรือซัพพลายเออร์ที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งแบรนด์จะได้กำไรจากส่วนต่างราคานี้ทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่เรียกเก็บเป็น Royalty Fee ก็ตาม
สุดท้ายคือ ค่าบริการซ่อมบำรุงและอะไหล่ (Maintenance & Parts) เมื่อเครื่องจักรหมดระยะเวลารับประกัน แบรนด์อาจทำกำไรจากการผูกสัญญาบริการหลังการขายรายปี หรือจากการขายอะไหล่สิ้นเปลืองในราคาที่บวกกำไรไว้แล้ว
เปรียบเทียบโมเดล "เก็บ Fee" กับ "ไม่เก็บ Fee"
เมื่อนำทั้งสองโมเดลมาเปรียบเทียบ จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนในหลายมิติ โมเดล "เก็บ Fee" (มี Royalty Fee) มักจะดึงดูดนักลงทุนด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น (SK) ที่ต่ำกว่า เพราะแบรนด์หวังผลกำไรระยะยาวจากการเติบโตของสาขา แต่ก็แลกมาด้วยต้นทุนต่อเนื่องที่สูงคงที่ (ต้องจ่าย % ยอดขายบวกค่าการตลาด) ในทางกลับกัน โมเดล "ไม่เก็บ Fee" มักจะมีเงินลงทุนเริ่มต้นที่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะแบรนด์ได้บวกกำไรจากการขายเครื่องจักรไปแล้วตั้งแต่ต้น แต่มีข้อดีคือต้นทุนต่อเนื่องในเชิงบัญชีจะต่ำกว่า (จ่ายแค่ค่าวัตถุดิบและค่าสาธารณูปโภค)
ในแง่ของแรงจูงใจและการซัพพอร์ต โมเดล "เก็บ Fee" สร้างแรงจูงใจให้แบรนด์สูงกว่า ที่จะต้องช่วยให้สาขาขายดี เพราะยิ่งสาขาทำยอดได้มาก แบรนด์ก็ยิ่งได้ส่วนแบ่งมากตามไปด้วย จึงมักมาพร้อมระบบ Support ที่ครบวงจร ทั้ง Application, การตลาดส่วนกลาง และทีมที่ปรึกษา ขณะที่โมเดล "ไม่เก็บ Fee" แรงจูงใจของแบรนด์อาจเน้นไปที่ "การขาย" แพ็กเกจให้จบในครั้งแรก การซัพพอร์ตระยะยาวอาจต้องจ่ายแยกเป็นครั้งคราว หรือนักลงทุนต้องดูแลด้วยตัวเอง สุดท้ายคือมิติด้านความเป็นเจ้าของ โมเดล "เก็บ Fee" ความเป็นเจ้าของจะต่ำกว่า เพราะต้องดำเนินงานภายใต้กฎระเบียบของแบรนด์อย่างเข้มงวด ส่วนโมเดล "ไม่เก็บ Fee" จะให้อิสระและความคล่องตัวในการบริหารจัดการร้านที่สูงกว่ามาก
คำถามที่พบบ่อย
1. Royalty Fee และ Marketing Fee แตกต่างกันอย่างไร?
Royalty Fee คือค่าสิทธิ์ในการใช้แบรนด์และระบบงาน มักคิดเป็น % จากยอดขาย เพื่อเป็นค่าตอบแทนที่แบรนด์คอยสนับสนุนธุรกิจเรา ส่วน Marketing Fee คือค่าการตลาดส่วนกลางที่แบรนด์เก็บไปเพื่อโปรโมตแบรนด์ในภาพรวมให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งจะส่งผลดีต่อทุกสาขา บางแบรนด์อาจเก็บรวมกัน หรือบางแบรนด์อาจเก็บแยกกัน
2. โมเดล "ไม่เก็บ Fee" หมายความว่าเราจะไม่ต้องจ่ายอะไรให้แบรนด์อีกเลยใช่หรือไม่?
ไม่เสมอไป โมเดล "ไม่เก็บ Fee" ส่วนใหญ่หมายถึง "ไม่เก็บ Royalty Fee" (ส่วนแบ่งยอดขาย) แต่แบรนด์มักมีรายได้จากทางอื่นแทน เช่น กำไรจากการขายเครื่องในแพ็กเกจเริ่มต้น, การบังคับซื้อน้ำยาซักผ้า/ปรับผ้านุ่มจากแบรนด์, หรือค่าบริการซ่อมบำรุงและค่าอะไหล่
3. ระหว่างโมเดล "เก็บ Fee" กับ "ไม่เก็บ Fee" แบบไหนคุ้มค่ากว่ากันในระยะยาว?
ขึ้นอยู่กับความสามารถของนักลงทุน หากคุณเป็นมือใหม่ การจ่าย Fee เพื่อแลกกับระบบ Support ที่ดี (การตลาด, แอปฯ, ทีมช่าง) อาจช่วยให้คุณคืนทุนเร็วขึ้นและลดความเสี่ยง ซึ่งคุ้มค่ากว่า ส่วนคนที่เก่งบริหารจัดการอยู่แล้ว การเลือกโมเดล No Fee เพื่อเก็บกำไรไว้เอง 100% ก็อาจคุ้มค่ากว่า
สรุป แล้วเราจะเลือกลงทุนแฟรนไชส์เครื่องซักผ้าแบบไหน?
ไม่มีโมเดลไหนดีที่สุดตายตัว ขึ้นอยู่กับสไตล์ ประสบการณ์ และเป้าหมายของนักลงทุนแต่ละคน
โมเดล "เก็บ Fee" (มี Royalty Fee) เหมาะกับใคร? คำตอบคือ นักลงทุนมือใหม่ที่ "ต้องการพี่เลี้ยง" และยังไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจนี้, นักลงทุนที่ต้องการระบบ Support ที่แข็งแกร่งครบวงจร (เช่น Application, การตลาดส่วนกลาง, ทีมช่าง 24 ชม.) และยอมจ่ายเปอร์เซ็นต์ของยอดขายเพื่อ "ซื้อเวลา" และ "ลดความเสี่ยง" ในการบริหารจัดการ
ในทางกลับกัน โมเดล "ไม่เก็บ Fee" (No Fee Model) เหมาะกับใคร? คำตอบคือ คนที่มีประสบการณ์ใน ธุรกิจเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ (SK) มาบ้างแล้ว, นักลงทุนที่ต้องการ "ความเป็นเจ้าของ 100%" ต้องการบริหารเอง ทำการตลาดเอง และไม่ต้องการแบ่งผลกำไรให้ใคร, และผู้ที่มั่นใจว่าสามารถจัดการปัญหาหน้างาน (เช่น การหาช่างซ่อม, การทำการตลาดท้องถิ่น) ได้ด้วยตัวเอง
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจว่า แฟรนไชส์ เครื่องซักผ้า ลงทุนเท่าไหร่ (SK) นั้นคุ้มค่าหรือไม่ นักลงทุนควรถามคำถามที่ลึกกว่าราคาแพ็กเกจ โดยควรถามแบรนด์ให้ชัดเจนว่า "มีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องอะไรบ้าง?", "มีเงื่อนไขบังคับซื้อสินค้าอะไรหรือไม่?" และ "แบรนด์มีรายได้จากเราทางไหนอีกบ้าง" เพื่อให้เห็นโครงสร้างต้นทุนที่แท้จริงก่อนตัดสินใจลงทุน
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจธุรกิจเครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ เราคือ มารุ สะดวกซัก ร้านซักผ้าหยอดเหรียญสไตล์ญี่ปุ่นในรูปแบบใหม่ ซึ่งนำเข้าเครื่อง Tosei จากประเทศญี่ปุ่นดำเนินการภายใต้บริษัท กันยง ลอนดรี้ จำกัด เรามีทีมงานที่มีคุณภาพช่วยวิเคราะห์ให้คำปรึกษาและทีมงานออกแบบ ตกแต่งร้านที่เป็นมืออาชีพ
อีกหนึ่งทางเลือกดีที่สุดในการลงทุนร้านสะดวกซัก พร้อมสร้างรายได้และเติบโตได้อย่างมั่นคง สนใจสมัครแฟรนไชส์เครื่องซักผ้า ติดต่อ 02-118-2959 หรือที่เว็บไซต์ Maru Laundry